การรักษาภาวะมีบุตรยากเป็นหนึ่งในความท้าทายที่คู่รักหลายคู่ต้องเผชิญ และการประเมินคุณภาพของน้ำเชื้อ (สเปิร์ม) ถือเป็นขั้นตอนสำคัญในกระบวนการวินิจฉัยปัญหาด้านการเจริญพันธุ์ของฝ่ายชาย วิธีการมาตรฐานอาศัยการประเมินของนักเทคนิคการแพทย์หรือแพทย์เฉพาะทาง เช่น การเคลื่อนที่ รูปร่าง และจำนวน อย่างไรก็ตาม ความแม่นยำในการวิเคราะห์นี้ยังคงมีข้อจำกัดทำให้เกิดการพัฒนาวิธีการที่มีความแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย AI
นพ.นภดล ใยบัวเทศ สูตินรีแพทย์ เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ เผยว่า ปัจจุบันนวัตกรรมการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการตรวจน้ำเชื้อจึงกลายเป็นทางเลือกใหม่ที่เปลี่ยนโฉมการรักษาผู้มีบุตรยากอย่างมาก เทคโนโลยี AI ไม่เพียงแค่เพิ่มความแม่นยำในการประเมินคุณภาพของน้ำเชื้อ แต่ยังสามารถวิเคราะห์ข้อมูลในเชิงลึกและนำเสนอข้อมูลที่ซับซ้อนได้ในเวลาอันรวดเร็ว โดยการทำงานของ AI ในการตรวจน้ำเชื้อคือการทำหน้าที่เหมือนกับนักวิเคราะห์ดิจิทัลที่เรียนรู้จากข้อมูลหลายพันรายการในอดีต และพัฒนาขึ้นมาเพื่อประเมินคุณภาพของสเปิร์มได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว โดยกระบวนการทำงานของ AI ในการตรวจน้ำเชื้อจะเริ่มจากการถ่ายภาพหรือวิดีโอของน้ำเชื้อผ่านกล้องจุลทรรศน์ จากนั้น AI จะวิเคราะห์คุณสมบัติหลัก ๆ ของสเปิร์มดังนี้การเคลื่อนที่ของสเปิร์ม (Motility) : AI สามารถติดตามและประเมินความสามารถในการเคลื่อนที่ของสเปิร์มได้อย่างละเอียด โดยแยกแยะระหว่างสเปิร์มที่เคลื่อนไหวได้ดี เคลื่อนไหวผิดปกติ หรือไม่เคลื่อนไหวเลยรูปร่างของสเปิร์ม (Morphology) : AI สามารถวิเคราะห์รูปร่างของสเปิร์มได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการพิจารณาว่าสเปิร์มนั้นมีความสมบูรณ์เพียงพอสำหรับการปฏิสนธิหรือไม่จำนวนสเปิร์ม (Concentration) : AI สามารถนับจำนวนสเปิร์มต่อมิลลิลิตรของน้ำอสุจิได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ซึ่งช่วยในการประเมินความหนาแน่นของสเปิร์มในตัวอย่างน้ำเชื้อ การวิเคราะห์เหล่านี้ทำให้แพทย์สามารถประเมินภาวะมีบุตรยากในฝ่ายชายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถนำข้อมูลไปปรับแผนการรักษาเพื่อเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์
คุณพงษ์เพชร เบญจพลวัฒนา นักวิทยาศาสตร์ห้องปฏิบัติการเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ ประจำศูนย์นครธน กิฟท์ เฟอร์ทิลิตี้รพ.นครธน เผยว่า ข้อดีของการใช้ AI ในการตรวจน้ำเชื้อคือ ความแม่นยำที่สูงขึ้น: AI สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผล ได้แม่นยำกว่าสายตามนุษย์ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่มีความแม่นยำและน่าเชื่อถือมากขึ้น, ความรวดเร็วในการวิเคราะห์: การประมวลผลด้วย AI สามารถให้ผลลัพธ์ได้รวดเร็วภายในเวลาไม่กี่นาที ซึ่งช่วยประหยัดเวลาในการตรวจและวินิจฉัยปัญหา, ความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมาก: AI สามารถวิเคราะห์ตัวอย่างน้ำเชื้อหลายรายการได้พร้อมกัน ทำให้กระบวนการตรวจสอบสามารถดำเนินไปได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ, การวิเคราะห์ที่ครอบคลุมมากขึ้น: AI สามารถตรวจสอบลักษณะของสเปิร์มในหลายมิติที่มีความหลากหลายมากขึ้นเช่น การวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของสเปิร์มในทิศทางต่าง ๆ หรือการประเมินโอกาสในการเจาะเซลล์ไข่นอกจากนั้น การใช้ AI ในการตรวจน้ำเชื้อไม่เพียงแต่เพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์เท่านั้น แต่ยังช่วยให้แพทย์สามารถออกแบบแผนการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดได้ ตัวอย่างเช่น การเลือกสเปิร์มที่มีคุณสมบัติดีที่สุดเพื่อใช้ในกระบวนการ ICSI (Intracytoplasmic Sperm Injection) ทำให้มีโอกาสในการปฏิสนธิสูงขึ้น และเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์นอกจากนี้ AI ยังช่วยให้การรักษาภาวะมีบุตรยากมีความเข้าถึงได้มากขึ้น โดยลดเวลาการรอผลการตรวจ และช่วยให้ผู้รับบริการได้รับการรักษาที่รวดเร็วยิ่งขึ้น
นพ.นภดล กล่าวว่า โดยทั่วไปในช่วงอายุ 20-35 ปีคุณภาพของสเปิร์มมักจะดี มีจำนวนสเปิร์มที่เพียงพอและการเคลื่อนไหวของสเปิร์มที่แข็งแรง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มโอกาสในการมีบุตรแต่หลังอายุ 40 ปีคุณภาพของสเปิร์มจะเริ่มลดลงตามธรรมชาติ จำนวนสเปิร์มจะน้อยลง การเคลื่อนไหวของสเปิร์มจะช้าลง และมีความเสี่ยงต่อความผิดปกติทางพันธุกรรมเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการตั้งครรภ์หรือสุขภาพของบุตร ดังนั้น หากคุณผู้ชายวางแผนที่จะมีบุตรในอนาคต แต่ยังไม่พร้อมในช่วงนี้ การเก็บสเปิร์มในช่วงอายุ 20-35 ปีเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดในการรักษาคุณภาพของสเปิร์มไว้