โรคฝีดาษลิง หรือ เอ็มพอกซ์ (Mpox) แพร่ระบาดไปทั่วโลกและได้ถูกประกาศโดยองค์การอนามัยโลกให้เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระดับนานาชาติในขณะนี้ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่ายอดผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงจำนวน 835 คน ชาย 814 คนและหญิง 21 คน นอกจากนี้ ผู้ติดเชื้อมากที่สุดอยู่ในช่วงอายุ 30 – 39 ปี คนไทย 749 คนและจังหวัดที่มียอดผู้ติดเชื้อมากที่สุดคือ กรุงเทพมหานคร รวมทั้งสิ้น 466 คน
ศ. พญ.ศศิโสภิณ เกียรติบูรณกุล อายุรแพทย์โรคติดเชื้อภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า “โรคฝีดาษลิงเป็นโรคประจำถิ่นของประเทศในแถบแอฟริกาอยู่แล้ว แม้จะชื่อว่าฝีดาษลิง แต่เป็นโรคที่พบได้ในกลุ่มสัตว์ฟันแทะ เช่น กระรอกและหนูด้วย โดยสามารถติดต่อได้จากสัตว์สู่สัตว์ สัตว์สู่คน ไปจนถึงคนสู่คน เดิมมีการแพร่ระบาดเฉพาะในทวีปแอฟริกาเท่านั้น แต่ในพ.ศ.2565 ฝีดาษลิงได้มีการระบาดไปยังประเทศในแถบยุโรปและอเมริกา จนเกิดเป็นการระบาดทั่วโลกในปัจจุบัน โรคฝีดาษลิงเกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่ม Orthopoxvirus จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับโรคไข้ทรพิษหรือโรคฝีดาษ (smallpox) สามารถแบ่งได้เป็น 2 สายพันธุ์ ได้แก่ เคลด1 และ เคลด2 โดยเคลด 2 บี ซึ่งมีการแพร่ระบาดไปทั่วโลกในพ.ศ.2565 นั้น พบว่าในผู้ติดเชื้อบางรายมีอาการที่ไม่รุนแรง หรือไม่มีอาการเลย รวมทั้งมีอัตราการเสียชีวิตเพียงร้อยละ 0.2 เท่านั้น ในขณะที่ผู้ติดเชื้อเคลด1บี ที่กำลังมีการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วในพ.ศ.2567 นั้นมีอาการที่รุนแรงกว่า รวมทั้งยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น สมองอักเสบ ปอดอักเสบ หรือกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ”
การติดต่อของโรคฝีดาษลิงจากสัตว์สู่คน มาจากการสัมผัสตุ่มหนอง และสารคัดหลั่งของสัตว์ หรือการสัมผัสพืชที่ปนเปื้อนสารคัดหลั่งของสัตว์ ส่วนช่องทางการติดต่อโรคฝีดาษลิงจากคนสู่คนนั้น โดยส่วนใหญ่แล้วจะเกิดผ่านการสัมผัสแบบใกล้ชิด การสัมผัสสารคัดหลั่ง หรือได้รับเชื้อจากละอองฝอยของผู้ติดเชื้อ ด้วยเหตุนี้จึงมักติดต่อระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ การสัมผัสผื่นและตุ่มหนองของผู้ติดเชื้อ รวมทั้งการมีพฤติกรรมทางเพศที่สุ่มเสี่ยง เช่น เปลี่ยนคู่นอนบ่อย หรือมีเพศสัมพันธ์กับคนแปลกหน้า แต่ยังไม่พบว่ามีการติดเชื้อผ่านลมหายใจแต่อย่างใด
อาการโดยทั่วไปของผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงเคลด 2 บี คือ อาการทางผิวหนัง ปรากฏเป็นรอยโรคที่มีลักษณะเป็นตุ่ม ประมาณ ร้อยละ 51.5 ของป่วยจะมีรอยโรคประมาณ 2-5 ตุ่ม ซึ่งพัฒนาการของรอยโรคในช่วง 7 วันแรกนั้น จะเริ่มต้นจากรอยแดง ซึ่งจะมีการพัฒนาเป็นตุ่มน้ำใส และหากมีการอักเสบขึ้น ก็กลายเป็นตุ่มหนอง ที่ในเวลาต่อมาจะแตกเป็นแผลเปิด จากนั้นจึงมีลักษณะเป็นสะเก็ดปกคลุม โดยจะพ้นระยะแพร่เชื้อเมื่อสะเก็ดหลุด และผิวหนังมีเนื้อโตขึ้นมาเต็ม อย่างไรก็ดี เนื่องจากอาการทางผิวหนังเหล่านี้มีลักษณะคล้ายเริม และอีสุกอีใส จึงจำเป็นที่จะต้องอาศัยการพิจารณาประวัติของผู้ป่วย ตลอดจนการสังเกตอาการอื่นๆ เช่น มีไข้ต่อมน้ำเหลืองโต ปวดกล้ามเนื้อ ประกอบกับตำแหน่ง การกระจาย และจำนวนของตุ่ม กล่าวคือ โรคฝีดาษลิงมักพบเป็นกลุ่มของตุ่มที่บริเวณอวัยวะเพศและทวารหนัก และมีจำนวนของตุ่มไม่มากเท่าอีสุกอีใส
“จุดแรกที่จะมีส่วนช่วยในการวินิจฉัยคือประวัติของผู้ป่วยเช่นการสัมผัสผู้ที่มีความเสี่ยงติดเชื้อฝีดาษลิง ส่วนที่สอง คือ ประวัติการเป็นอีสุกอีใส กล่าวคือ หากเคยมีประวัติก็ไม่ควรที่จะเป็นอีก นอกจากนี้ การมีตุ่มที่อวัยวะเพศก็เป็นหนึ่งในลักษณะที่จำเพาะที่จะบ่งชี้อาการของโรคฝีดาษลิง เนื่องจากมักจะเป็นจุดรับเชื้อ ซึ่งโรคนี้สามารถวินิจฉัยได้โดยการสวอบ (swab) ที่ตุ่ม เพื่อเก็บตัวอย่างไปส่งตรวจ ทั้งนี้ หากผู้ป่วยมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อฝีดาษลิงเคลด1บี ในเบื้องต้นอาจมีความจำเป็นที่จะต้องมีการกักตัวที่โรงพยาบาลโดยผู้ที่มีประวัติการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยฝีดาษลิง หรือมีประวัติการเดินทางไปในประเทศที่มีความเสี่ยง เช่น กลุ่มประเทศในแถบแอฟริกากลาง มีอาการที่เข้าข่าย เช่น เป็นตุ่มตามร่างกายมีไข้ ปวดเมื่อยตามตัว สามารถไปตรวจได้ที่โรงพยาบาลที่เป็นโรงเรียนแพทย์รวมถึงโรงพยาบาลรามาธิบดี ตลอดจนโรงพยาบาลอื่นๆ บางแห่งในกรุงเทพมหานคร”
เนื่องจากโรคฝีดาษลิงยังคงไม่มียาต้านไวรัสที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ ยาที่ใช้คือ ยาที่ใช้สำหรับรักษาโรคฝีดาษ การรักษาในปัจจุบันจึงเน้นไปที่การรักษาตามอาการเพื่อบรรเทาอาการต่างๆ ของผู้ติดเชื้อ ในส่วนของการรักษาตุ่มนั้น สามารถใช้น้ำเกลือ ยาใส่แผลที่มีไอโอดีน (lodine) ตลอดจนขี้ผึ้งในการใช้ทำแผล นอกจากนี้ในระยะที่มีหนองไหลออกมาจากแผล ควรใช้น้ำเกลือชุบผ้าก๊อซประคบประมาณ 5 นาที อย่างน้อย 3-5 รอบต่อวัน ที่สำคัญคือ ผู้ป่วยควรระมัดระวังอย่าให้แผลสกปรก เพื่อป้องกันการติดเชื้อ ไม่ควรแกะหรือเกาแผล และเมื่อสะเก็ดหลุด สามารถปล่อยให้รอยหายไปตามธรรมชาติ ทายารักษารอยดำ รอยแดง อีกทั้งยังสามารถเลเซอร์ลดรอยแผลได้
ทั้งนี้ การฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อนั้น สามารถทำได้ทั้งก่อนและหลังการสัมผัสอย่างใกล้ชิดกับผู้มีความเสี่ยงโรคฝีดาษลิง โดยควรฉีดภายใน 4 วันและไม่เกิน 14 วันภายหลังการสัมผัส เพื่อช่วยลดโอกาสและความรุนแรงในการติดเชื้อ หากเป็นผู้ที่ถูกจัดว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยฝีดาษลิง หรือเดินทางมาจากประเทศที่มีการแพร่กระจาย ควรที่จะฉีดวัคซีนเพื่อเป็นการป้องกันการติดเชื้อ
“การฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคฝีดาษลิงแบบก่อนสัมผัสนั้นไม่ได้จำเป็นสำหรับทุกคน แนะนำเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงเท่านั้น หากฉีดครบ 2 เข็ม ระยะเวลาห่างระหว่างเข็มเป็นเวลา 4 สัปดาห์ จะสามารถป้องกันโรคได้ถึงร้อยละ 80-85และถือว่ามีภูมิคุ้มกันเชื้อไวรัส หลังจากฉีดเข็มที่ 2 ไปเป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ สำหรับคำถามที่ว่า หากเคยมีการปลูกฝีเพื่อป้องกันโรคฝีดาษในอดีต จำเป็นที่จะต้องฉีดวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษลิงอีกครั้งหรือไม่นั้นซึ่งหากสงสัยว่าอยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยง แม้จะมีการปลูกฝีมาแล้ว ก็ยังคงแนะนำให้ฉีดวีคซีนป้องกัน โดยสามารถลงทะเบียนเพื่อฉีดวัคซีนได้ที่สถานเสาวภาและศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย ดังนั้น จึงไม่อยากให้ประชาชนตกใจแต่ควรมีการตื่นตัว และเฝ้าระวัง ติดตามข่าวสารและข้อมูลเกี่ยวกับโรคฝีดาษลิงอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกิดความรู้และความเข้าใจต่อเชื้อไวรัสที่ถูกต้อง” ศ. พญ.ศศิโสภิณ กล่าวทิ้งท้าย