เมื่อเทรนด์ Work-Life Balance กำลังถูกดิสรัปต์

มนุษย์ทำงานยุคนี้ควรจะให้ความสำคัญกับการทำงานแบบ Work-Life Balance เพื่อรักษาสมดุลของชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวให้ได้มากที่สุด หรือต้อง Work Hard To Survive เพื่อสร้างผลงานที่ดีที่สุดให้องค์กรเห็นถึงคุณค่าในตัวเรา จะได้อยู่รอดปลอดภัยในสภาวะที่เศรษฐกิจโลกน่าเป็นกังวลแบบนี้

คุณดวงพร พรหมอ่อน กรรมการผู้จัดการ Jobsdb by SEEK เผยว่า “Work-Life Balance เป็นแนวคิดที่คนทำงานมองว่าเราไม่ควรทำงานหนักจนตัวตาย แต่ก็ไม่ได้หมายถึงการทำงานแค่อาทิตย์ละ 2-3 วัน ซึ่งการ Work-Life Balance ให้อยู่รอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ คนทำงานต้องตอบโจทย์องค์กรให้ได้ด้วยการวางแผนว่าจะ Work-Life Balance อย่างไรที่สามารถอยู่รอดได้ในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้และเป็นที่ต้องการขององค์กร ต้องวางแผนการทำงานเป็น โดยทำงานภายในระยะเวลากำหนด พร้อมทั้งผลิตผลงานอย่างมีประสิทธิภาพตามที่องค์กรวางเป้าหมายไว้ ทำให้มีเวลาไปดูแลครอบครัว ดูแลตัวเอง ได้อย่างที่ใจต้องการ เราเรียกการทำงานแบบนี้ว่า “Work Smart”

ความแตกต่างของการทำงานทั้ง Work Smart และ Work Hard

Work Hard: คุณจะ “เลิกงานดึก” จะยังคงนั่งปั่นงานต่อไปเรื่อย ๆ เพราะรู้สึกว่ามีงานเยอะจ่อรอต่อคิวอยู่ตลอดเวลา ทำงานชิ้นหนึ่งเสร็จ ก็จะมีงานชิ้นอื่น ๆ ต่อคิวให้ทำอีกหลายชิ้น, “หอบงานกลับบ้าน” โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากช่วงไหนงานยุ่งมาก ๆ คนในบ้านอาจจะได้เห็นภาพคุณกำลังนั่งทำงานที่บ้านในวันเสาร์อาทิตย์อยู่ และ “ทุ่มเทเพื่องาน” ถ้างานยังไม่สำเร็จตามเป้าหมาย ก็จะยังคงทำงานต่อไป เพื่อให้งานลุล่วงไปได้ คุณจะขอทุ่มให้เต็มที่ไม่ว่าจะต้องใช้เวลาเท่าไรก็ตาม

แน่นอนว่างานของคุณจะสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ 0ได้รับความไว้วางใจและคำชื่นชมทั้งจากหัวหน้าและสมาชิกอื่น ๆ ในทีม นำไปสู่เส้นทางการเติบโตที่สดใสในหน้าที่การงาน แต่ Jobsb by SEEK อยากจะเน้นย้ำว่า สุขภาพ (ทั้งกายใจ) และคนที่คุณรักก็สำคัญไม่แพ้งาน การแบ่งเวลาเพื่อทำในสิ่งที่ชอบ การดูแลตัวเองและการใช้เวลากับเพื่อนหรือคนในครอบครัว เป็นกิจกรรมชุบชูจิตใจที่ทำให้เราได้ชาร์จพลัง เพื่อให้มีแรงฮึดสู้กับทุก ๆ ภาระงานที่เราต้องรับผิดชอบได้เป็นอย่างดี

Work Smart: คุณจะ “เลิกงานตามเวลา” ก่อนที่คุณจะก้าวเท้าออกจากออฟฟิศ คุณได้คิดมาแล้วว่าคุณสามารถจัดสรรบริหารเวลาระหว่างเวลาทำงานและเวลาส่วนตัวได้อย่างสมดุล, “วางแผนงานเป็นระบบ” เมื่อได้รับมอบหมายงานมาคุณมักจะนำมาวิเคราะห์ จัดเรียงลำดับความสำคัญของงาน กำหนดเวลาทำงานและวันส่งงาน จะได้รู้ว่างานอะไรที่ต้องทำก่อนหรือทำหลัง เพื่อให้งานเสร็จแต่ไม่กระทบกับชีวิตส่วนตัวนั่นเอง และ “เวลางาน ทำงานเต็มที่”

เพื่อให้งานแต่ละชิ้นสำเร็จตามระยะเวลาทำงานและวันส่งงานที่ได้กำหนดไว้ หากเต็มที่กับเวลางานแล้ว จะได้เต็มที่กับเวลาส่วนตัวเช่นกัน และ “รู้จักใช้ตัวช่วยอย่างชาญฉลาด” ในยุคที่เราทุกคนต่างพึ่งพาความสามารถของ AI ทั้งในการทำงานและในชีวิตประจำวัน มนุษย์สาย Work Smart อย่างคุณสามารถที่จะนำ AI มาปรับใช้กับภาระงานได้อย่างเป็นประโยชน์และชาญฉลาด ถือเป็นการเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ ไปพร้อม ๆ กับการได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในทุกๆ งาน

หากทุก ๆ สเต็ปในการทำงานผ่านการคิดและวางแผนมาอย่างถี่ถ้วน พร้อมความรู้ที่คุณสามารถนำเทคโนโลยีที่จะช่วยมาทุ่นแรงและประหยัดเวลามาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้สามารถสร้างผลงานที่ดีที่สุด จนนำไปสู่อนาคตที่สดใสในเส้นทางอาชีพได้ ทำให้คุณมีเวลาว่างเหลือเฟือสำหรับไปพักผ่อนหรือไปหากิจกรรมพัฒนาตัวเองด้านอื่น ๆ อีกทั้งยังลดโอกาสที่จะเกิดความเครียดสะสมจากการทำงานได้มากกว่าด้วย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *