“Under the Dark Sun” นิทรรศการเดี่ยวของศิลปิน อิ่มหทัย สุวัฒนศิลป์ เป็นทั้งสัญญาณเตือนและในเวลาเดียวกันก็ชี้โอกาสในการเปลี่ยนเปลง ชวนให้นึกถึงพลังในการโอบอุ้มเลี้ยงดูสิ่งมีชีวิตของธรรมชาติ เป็นนิเวศที่ทั้งสัตว์บก สัตว์น้ำ และสัตว์ปีก ดำรงชีวิตอยู่ร่วมกัน มนุษย์กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนทางสิ่งแวดล้อมครั้งใหญ่ นิทรรศการนี้ได้สะท้อนว่าธรรมชาติเอง ก็อาจจะดับสูญลงในสักวันหนึ่ง กลายเป็นสถานที่มืดมน ไร้ความอารี ไร้แสง และไร้ชีวิต เป็นจุดสิ้นสุดของโลก หรืออาจเป็นจุดเปลี่ยนผ่านในวัฏจักรของโลก ณ วารินแล็บ คอนเท็มโพรารี ตั้งแต่วันที่ 3สิงหาคม 2567 – 28 กันยายน 2567
ความสะเทือนใจและความกังวลในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นเป็นรากฐานที่อิ่มหทัยกลั่นความคิดออกมาเป็นนิทรรศการนี้ ในแง่หนึ่งเธอสำรวจผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากพฤติกรรมของมนุษย์ และอีกแง่หนึ่งเธอสื่อสารถึงอิทธิพลของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติมีต่อประวัติศาสตร์ของมนุษย์ และต่อประวัติศาสตร์ของโลกในฐานะดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่นพระจันทร์และพระอาทิตย์ ทั้งสองต่างเกี่ยวพันกับโลกในฐานะดาวบริวารและดาวฤกษ์ ที่ได้สร้างอารยธรรมของมนุษย์มานับพันปี ทั้งกำหนดช่วงเวลาเพาะปลูกและเก็บเกี่ยว การย้ายถิ่น ฤดูล่าสัตว์และฤดูตกปลา ถ้าหากวันหนึ่งดวงอาทิตย์ถูกบดบังและดวงจันทร์ดับแสงลง ดาวโลกดวงนี้จะเป็นอย่างไร? วัฏจักรของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จะยังนำทางเราอยู่หรือไม่? ความหลากหลายทางชีวภาพจะยังคงอยู่ได้หรือไม่?