“Dreamcatcher” หรือ ตาข่ายดักฝัน โดยทั่วไปมักสื่อความหมายเป็นเครื่องป้องกันฝันร้ายในยามหลับใหล แต่ในโลกของความเป็นจริงเราไม่อาจหนีเรื่องราวร้ายๆในชีวิตได้ เราอาจเห็นบทเรียนแง่คิดความหวังและอื่นๆอีกมากมายปะปนอยู่ผ่านการถ่ายทอดของ 2 ศิลปิน อนุชา และ อนุชิต เหมมาลา ที่เฝ้ามองฝันดีและฝันร้ายนี้ในสังคมปัจจุบัน ณ Rebel Art Space Chinatown & The Bangkok Heritage ชั้น 3 ระหว่างวันที่ 23 พฤศจิกายน – 23 ธันวาคม2566 ทุกวันเวลา 11:00 – 21:00 น.
หากชีวิตเปรียบเสมือนการเดินทางในระหว่างทางมักมีความปรารถนามากมายเกิดขึ้นไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ล้วนแต่เป็นภาพหวังให้เกิดขึ้นบ้างสามารถเกิดขึ้นจริงบ้างเป็นเพียงความปรารถนาที่ยังไม่เกิดขึ้นและอาจไม่มีวันเกิดขึ้นมันดูเลือนรางเหมือนความฝันมันผันผวนไปตามบริบทของชีวิตข้อจำกัดเหล่านี้ที่แตกต่างกันทำให้ความฝันไม่อาจเกิดขึ้นจริงได้โดยง่าย แต่ไม่ว่าฝันนั้นจะคืออะไรหรือจะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตามมันยังคงเป็นความปรารถนาเล็กๆอยู่ในใจอยู่ดีนิทรรศการนี้จึงอยากเชิญชวนทุกท่านร่วมเดินทางสู่ความฝันของตัวเองอีกครั้งเผื่อไตร่ตรองมองดูฝันดีและฝันร้ายของตัวเองเพราะความปรารถนาเป็นส่วนหนึ่งของการมีชีวิตเชื่อมโยงไปสู่วันข้างหน้าความหวังความจริงและความฝันที่เป็นจริงจะส่งต่อพลังงานในการใช้ชีวิตให้เราได้พบเจอกับฝันใหม่ๆและทำมันให้สำเร็จนำพาเราไปสู่ดินแดนใหม่ดินแดนที่มองจากตรงนี้มันยังคงเป็นภาพฝันที่เลือนรางแต่ลึกๆมันยังมีความหวังซึ่งจะนำไปสู่ความฝันที่เรายังคงปรารถนาที่ไปถึง
อนุชา กล่าวในส่วนพาร์ท “Dreamer” ว่า “ความฝัน”อาจมีความหมายใกล้เคียงกันกับคำว่า “จุดมุ่งหมาย” เป็นการตั้งความหวังกับอะไรสักอย่างที่มีค่ามากพอสำหรับคนนั้น ๆบ้างอาจเป็นการงานอาชีพ บ้างอาจเป็นเงินทอง การตอบแทนบุญคุณ หรือแม้แต่ความต้องการที่จะดูแลใครสักคนที่คุณรัก ความฝันจึงมีความหลากหลายและแตกต่างกันไปในสังคมแต่ละความฝันนั้นมักมีข้อจำกัดมากมายที่คอยขวาง บังคับ และพยายามไม่อนุญาตให้เราทำในสิ่งนั้นให้สำเร็จโดยง่ายแต่เรายังคงเห็นนักล่าฝันเหล่านั้นต่อสู้เพื่อความฝันของตนเองผมเองก็เป็นหนึ่งในนักล่าฝันที่ยังคงปกป้องความฝันของตนเองเช่นกัน เพราะในโลกความเป็นจริงมักมอบความท้าท้ายให้กับชีวิตของเราอยู่เสมอมันจ้องมองและคอยลักขโมยความฝันของเราไป แต่เรามีหน้าที่ปกป้องความฝันของตัวเราเองด้วยความหวัง จึงทำผลงานชุดนี้ขึ้นมาโดยหยิบยกแรงบันดาลใจเหล่านั้นมาบอกต่อและส่งแรงบันดาลใจนั้นให้กับนักล่าฝันคนอื่นๆ ที่ยังคงต้องสู้กับข้อจำกัดของชีวิตตนเองเราอยากมอบความหวังในการฝัน จากคนที่ยังคงทำฝันสู่คนที่กำลังทำฝันเช่นกัน ให้ถึงจุดมุ่งหมายโดยเร็ววัน เพราะทุก “ความฝันมีค่าในตัวของมันเอง” เราจึงเห็นคุณค่าของความหวังในตัวของนักล่าฝันทุกคน”
อนุชิต กล่าวในส่วนของ “Wish to Dream” ว่า “ความฝัน” เปรียบเหมือนดั่ง “ความปรารถนา” ในชีวิตบางครั้งก็ดูเลือนราง บางครั้งก็ปรากฏชัดเจนความปรารถนาบางอย่างต้องใช้เวลาและพลังงานชีวิตอย่างมาก หากล้มเลิกความตั้งใจที่จะทำก็เท่ากับภาพฝันที่เป็นดั่งเป้าหมายก็จะกลายเป็นเพียงหลับฝันตื่นหนึ่ง ความฝันสามารถที่จะเกิดขึ้นจริงหรือเป็นเพียงความต้องการลึกๆที่ไม่สามารถเกิดขึ้นจริงก็ได้ เราเชื่อว่าทุกคนมีเป้าหมาย มีสิ่งที่อย่างทำมันอาจเป็นอะไรที่ใหญ่อย่างเป้าหมายชีวิต หรือเป็นอะไรเล็กๆน้อยๆ อย่างการได้ลูกโป่งของเด็กน้อยคนหนึ่งซึ่งชีวิตปฏิเสธไม่ได้ว่ามีทั้งฝันดีหรือฝันร้าย ฝันดีไม่อยู่กับเราไปตลอดฝันร้ายก็เช่นกัน ผลงานชุดนี้จึงอยากเชิญให้ทุกท่านสร้างความหวังเพื่อความฝันขึ้นมา เราคิดว่าความเชื่อมั่นในสิ่งที่คิดในสิ่งที่หวังนั้นจะเป็นพลังในการใช้ชีวิตเพื่อชีวิตที่อยากจะเป็น ถ้าหากชีวิตคือการเดินทางจากจุดหนึ่งไปสู่อีกจุดหนึ่ง ไม่ว่าโลกจะมอบฝันร้ายให้กับเรา เรายังคงเชื่อมั่นและเดินต่อไปในทิศทางที่ตนอยากจะเป็น เดินผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากช่วงเวลาที่ความคิดความรู้สึกและร่างกายอ่อนล้าจากการดำรงชีวิต ในความเป็นจริงอาจมีข้อจำกัดมากมายแตกต่างกันที่ทำให้ความปรารถนาไม่อาจเป็นจริง ความหวังจะเป็นแรงผลักดันสำคัญให้เรายังคงทำตามความคิดความเชื่อเพื่อตามความฝันไป ความฝันอาจเป็นอะไรที่ดูเลือนราง แต่มันทำให้จิตใจที่ว่างเปล่าถูกเติมเต็มไปด้วยพลังในความทะยานอยากที่จะเป็นไป เพื่อชีวิตที่สวยงามและเป็นอย่างที่หวัง และเพื่อพบกับฝันที่งดงาม”
ทั้งสองเชื่อว่าการได้ทำตามความปรารถนาจะเป็นพลังงานสำคัญต่อการใช้ชีวิตในวันต่อๆไป ความปรารถนาบางอย่างจำเป็นต้องใช้พลังงานชีวิตและเวลาอย่างมาก เพราะในความเป็นจริงการดำรงชีวิตในแต่ละวันมีบริบทมากมายแตกต่างกันที่ทำให้ความปรารถนาบางอย่างไม่สามารถเกิดขึ้นจริงได้ ความหวังจึงเป็นแรงผลักดันที่สำคัญที่ทำให้เรายังคงเดินตามความฝัน เพื่อไปพบฝันที่งดงาม ความหวังความฝันสามารถมีอยู่ได้กับคนทุกเพศทุกวัย